วันก่อนไปคลิปนึงซึ่งคุณลินดา ติกกะวี หรืออาจารย์หลินพูดไว้ในงาน BAD Talk 2015 ไว้อย่างน่าสนใจมากเกี่ยวการแสดงออกที่เรียกว่าภาษากาย ขออนุญาตสรุปและเขียนในแนวที่ผมถนัดมากกว่า โดยมีเรื่องที่อาจารย์หลินเล่าเป็นแกนก็แล้วกันครับ
ทำไมคนบางคนขายของได้แล้วได้อีก ทำไมเซลส์บางคนหยิบจับอะไรก็ขายได้หมด ไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่ไหนก็ยังเป็นยอดเซลส์มือทอง งานชิ้นเดียวกันนำเสนอเหมือนกัน สไลด์ชุดเดียวกันแต่คนฟังให้ความเชื่อถือหรือฟังแล้วโน้มน้าวคล้อยตามอีกคนแบบไม่เห็นฝุ่น
สิ่งที่ทำให้คนสำเร็จแตกต่างจากคนทั่วไปคือ คนแบบนี้เริ่มต้นที่ความเชื่อและความคิดในหัวเสียก่อนกับทุกทิ่งตรงหน้า เขาคิดยังไงกับผลิตภัณฑ์ที่ขาย สินค้าที่รับผิดชอบหรือแผนงานบริการที่นำเสนอสู่ลูกค้า ผู้ฟังสามารถสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้โดยตรง สิ่งเหล่านั้นเรียกว่า”ทัศนคติ”
ทัศนคติต่อสิ่งใดๆล้วนแล้วแต่แสดงออกจากการสื่อสารของเราสู้ผู้คนภายนอก คำพูด น้ำเสียง และสุดท้ายคือภาษากาย สิ่งที่มีผลมากที่สุดตามลำดับคือ คำพูด<น้ำเสียง<ภาษากาย โดยภาษากายมีผลกับความรู้สึกของคนฟังถึง 55% เช่นเมื่อเข้าพบลูกค้าเพื่อนำเสนองานแต่เราไม่มั่นใจตั้งแต่แรกแล้วว่าลูกค้าไม่น่าซื้อหรอก นั่นแหละแม้ว่าเราไม่ได้พูดแต่ร่างกายเราโกหกไม่ได้ และทุกอย่างแสดงออกผ่านท่าทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตา คนเรามักจะหาข้อแก้ตัว มัวแต่มองหาสิ่งที่อยากเห็น อยากให้เป็น ดังนั้นถ้าตั้งธงมาตั้งแต่ที่บ้านแล้วว่า ขายไม่ได้หรอก สิ่งนั้นก็ส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มีผลต่อความสำเร็จที่เกิดขึ้น พอทุกอย่างล้มเหลวก็จะหาข้อแก้ตัวต่างๆนานาว่า นั่นไง บอกแล้วไง ยังไงก็ไม่ซื้อ ยังไงก็ทำไม่ได้ เราเลือกที่จะได้ยินได้ฟังจากความตั้งใจของเราเอง
เวลาที่บ่นอะไร เบื่อ ขาดความมั่นใจ ความเชื่อหดหาย ทุกอย่างจะเป็นไปจามสิ่งที่จินตนาการเอาไว้ไม่มีผิด คนเรามีสัมผัสกับเรื่องอย่างนี้เสมอ ไม่เชื่อลองมองไปรอบตัวเราจะพบว่า ทำไมเพื่อนคนนี้มีออร่า รัศมีเปล่างประกาย ในขณะที่เพื่อนร่วมงานอีกคน หน้าคล้ำหม่นหมองตลอดปีตลอดชาติ
“Whether you think you can, or you think you can’t–you’re right.” Henry Ford
คนที่มีความเชื่อคล้ายๆกันมักจะอยู่ใกล้ๆกันเสมอ และคนที่มีความเชื่อคล้ายกันมักจะเออออห่อหมกไปด้วยเช่น ชอบหมา ชอบแต่งรถ อะไรก็ว่ากันไป และถ้าเราเริ่มต้นด้วยความเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็เป็นไปได้ Simon Sinek เคยกล่าวไว้ในหนังสือ Start with why ไว้อย่างน่าสนใจมากว่า “People don’t buy what you do; they buy why you do it.” คนไม่ได้ซื้ออะไรที่คุณทำแต่คนซื้อว่าทำไมคุณถึงทำสิ่งนี้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนสมัย Steve Jobs ยังมีชีวิตอยู่ Apple พิสูจน์ว่าความเชื่อของพวกเขาคืออะไรผ่านสโลแกนที่เป็นแก่นคือ “Think different” นั่นเป็นเหตุผลที่สำคัญว่าทำไมคนต้องต่อแถวยาวรอกันเป็นคืนเพื่อรอซื้อเพื่อตอบสนองให้โลกเห็นว่าเขาเข้าคิวรอคอยเพื่อซื้อของชิ้นนี้เพราะมีความเชื่อเหมือนกับ Apple
ความเชื่อเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากและมีติดมากับทุกคนแต่น่าเสียดาย เมื่อเรารายล้อมไปด้วยคนที่มีแต่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เราจะถูกกฎหมู่ช่วยกันกลืนให้เรามีความเชื่อเหมือนพวกเขา ผมว่าสมัยนี้เทคโนโลยีดีๆมีเยอะแยะมากมายที่ช่วยให้เราคนหาว่า คนที่เชื่อเหมือนกันเขาไปรวมตัวชุมนุมกันที่ไหน ออนไลน์อย่างไร เราก็แค่พาตัวพาใจไปรวมกลุ่ม เข้าไปติดสนิทกับคนเหล่านั้นเพื่อให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งขึ้น คำคมสุดท้ายที่จะฝากเอาไว้คือ
“You are the average of the five people you spend the most time with.”-Jim Rohn
เราคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราอยู่ด้วยเสมอ ลองหาอะไรใหม่ๆทำดูบ้าง บางทีอาจจะช่วยดึงค่าเฉลี่ยของเราให้สูงขึ้น ทำอะไรก็ประสบสุข สมหวังในทุกประการ
ขอความเชื่อจงอยู่คู่ทุกท่านครับ
www.PresentationBen.com
อ้างอิงเนื้อหาจากคลิปนี้ครับ