บทนำเรื่องโครงสร้างการนำเสนอ
พรีเซนต์แล้วคนฟังไม่เข้าใจ หรือพูดจบแล้วไม่มีใครคล้อยตาม อาจเป็นเพราะไม่มี โครงสร้างการนำเสนอที่ดี การพรีเซนต์ไม่ใช่แค่พูดให้จบหรือมีสไลด์โอเค แต่ต้องมี โครงสร้างที่ช่วยให้เนื้อหาลื่นไหล เข้าใจง่าย และโน้มน้าวใจได้
ในบทความนี้ จะพาไปรู้จัก 4 โครงสร้างพรีเซนต์ที่มืออาชีพใช้ เพื่อให้การนำเสนอมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Before → After → Call to Action (เปรียบเทียบให้เห็นความเปลี่ยนแปลง)
- Problem → Answer → Call to Action (เริ่มจากปัญหา แล้วเสนอวิธีแก้ไข)
- What → Why → How (อธิบายสิ่งที่กำลังนำเสนอ และเหตุผลที่ต้องสนใจ)
- Why → How → What (Golden Circle แบบ TED Talk ใช้)
และที่สำคัญ แจกฟรี Prompt AI เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้ทันที
ทำไมโครงสร้างการพรีเซนต์ถึงสำคัญ?
พรีเซนต์ดีแค่ไหน ถ้าไม่มีโครงสร้างที่ดี คนฟังก็อาจสับสน จับประเด็นไม่ได้ และท้ายที่สุดก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ โครงสร้างการพรีเซนต์เปรียบเสมือน “เส้นทาง” ที่พาผู้ฟังจากจุดเริ่มต้นไปสู่จุดหมาย ถ้าทางไม่ชัดเจน คนฟังจะหลงทาง และไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังสื่อสารได้อย่างถูกต้อง ลองนึกถึงการเดินเข้าห้องประชุมที่มีคนพรีเซนต์สองคน
- คนแรก พูดไปเรื่อยๆ สไลด์เต็มไปด้วยข้อความ ข้อมูลกระจัดกระจาย ฟังแล้วไม่แน่ใจว่าต้องการสื่ออะไร
- คนที่สอง พูดด้วยลำดับที่ชัดเจน เริ่มจากปัญหา ไปสู่แนวทางแก้ไข และจบด้วยสิ่งที่ต้องการให้ผู้ฟังทำต่อ
ใครจะสร้างความประทับใจได้มากกว่า?
ถ้าไม่มีโครงสร้างที่ดี พรีเซนต์อาจกลายเป็นแค่การพูดส่งๆ ไม่มีจุดเชื่อมโยงที่ทำให้คนฟังติดตามต่อเนื่อง
ถ้าไม่มีโครงสร้างที่ดี จะเกิดอะไรขึ้น?
1. คนฟังอาจจับประเด็นไม่ได้
การพรีเซนต์ที่ไม่มีโครงสร้างชัดเจนทำให้ผู้ฟังต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแยกแยะว่าส่วนไหนคือประเด็นหลัก และส่วนไหนเป็นรายละเอียดรอง
เมื่อเนื้อหาถูกถ่ายทอดอย่างไร้ทิศทาง ผู้ฟังต้อง “เดา” ว่าผู้พูดกำลังจะไปในทิศทางไหน ส่งผลให้ไม่สามารถโฟกัสกับสาระสำคัญของพรีเซนต์ได้
ตัวอย่าง:
หากกำลังนำเสนอแผนธุรกิจ แต่เริ่มต้นด้วยรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับงบประมาณ โดยไม่อธิบายภาพรวมก่อน ผู้ฟังอาจสับสนและไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่กำลังพูด
2. เนื้อหาดูสับสน ต่อกันไม่ติด
โครงสร้างที่ไม่ดีทำให้พรีเซนต์เหมือนการ “พูดไปเรื่อยๆ” โดยไม่มีลำดับที่แน่นอน
เนื้อหาที่ดีควรมี “การไหลลื่น” จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ไม่ใช่พูดกระโดดข้ามไปมา ซึ่งทำให้คนฟังสับสน
ตัวอย่าง:
สมมติว่ากำลังพรีเซนต์เรื่องการเพิ่มยอดขาย
- เริ่มต้นด้วยการพูดถึงเทคนิคโฆษณาออนไลน์
- แล้วกระโดดไปพูดเรื่องการสร้างแบรนด์
- แล้วกลับมาที่เรื่องโฆษณาอีกที
แบบนี้คนฟังจะไม่สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาได้ และอาจรู้สึกว่าไม่มีความต่อเนื่อง
3. โน้มน้าวใจได้ยาก
การพรีเซนต์ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูล แต่ต้องสามารถจูงใจให้คนฟัง “เชื่อ” และ “ลงมือทำ”
ถ้าไม่มีโครงสร้างที่ดี คำพูดจะดูไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความต่อเนื่อง และไม่มีจุดเน้นที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ฟังรู้สึกคล้อยตาม
ตัวอย่าง:
ลองนึกถึงนักขายที่พูดถึง “คุณสมบัติ” ของสินค้าไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการเปรียบเทียบหรือแสดงให้เห็นถึง “คุณค่า” ที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์ ผลลัพธ์คือ คนฟังจะไม่เห็นเหตุผลที่ต้องซื้อ
ถ้ามีโครงสร้างที่ดี ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?
1. คนฟังเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
เมื่อเนื้อหามีลำดับที่ชัดเจน คนฟังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก
โครงสร้างช่วยให้ผู้ฟังรู้ว่า “กำลังจะพูดถึงอะไร”, “ทำไมมันสำคัญ”, และ “ต้องทำอะไรต่อ”
ตัวอย่าง:
หากใช้โครงสร้าง Problem → Answer → Call to Action
- เริ่มจากปัญหาที่ผู้ฟังเผชิญอยู่
- ตามด้วยการนำเสนอวิธีแก้ไข
- ปิดท้ายด้วยการกระตุ้นให้ลงมือทำ
คนฟังจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะมี “ทิศทาง” ให้ติดตาม
2. พรีเซนต์ลื่นไหล และน่าติดตาม
เนื้อหาที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระบบทำให้พรีเซนต์มีความลื่นไหล ไม่มีช่วงที่ดูสะดุดหรือลังเล
โครงสร้างที่ดีช่วยให้การเปลี่ยนผ่านจากหัวข้อหนึ่งไปอีกหัวข้อหนึ่งเป็นไปอย่างธรรมชาติ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าได้รับข้อมูลที่ “ต่อเนื่อง” และ “สอดคล้องกัน”
ตัวอย่าง:
หากใช้โครงสร้าง Before → After → Call to Action
- เริ่มจากการเล่าถึงสถานการณ์ก่อนการเปลี่ยนแปลง
- นำเสนอผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
- ปิดท้ายด้วยการชวนให้ลงมือทำ
แบบนี้พรีเซนต์จะดูมีทิศทาง และผู้ฟังจะติดตามได้ตลอด
3. เพิ่มโอกาสให้คนฟังคล้อยตาม และเกิด Action
การพรีเซนต์ที่ดีต้องสามารถกระตุ้นให้คนฟังเกิด “แรงจูงใจ” ที่จะทำบางสิ่งหลังจากฟังจบ
ถ้าโครงสร้างชัดเจน คนฟังจะเห็นภาพรวมของเนื้อหา และสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่าง:
ลองนึกถึงการพรีเซนต์เพื่อขออนุมัติงบประมาณ
- ถ้าเริ่มต้นด้วยตัวเลขต้นทุน แล้วไปพูดถึงโอกาสการลงทุน โดยไม่เชื่อมโยงให้เห็นภาพรวม ผู้ฟังอาจไม่เห็นความสำคัญ
- แต่ถ้าเริ่มจาก Why → How → What
- อธิบายว่าทำไมต้องลงทุน (Why)
- วิธีการที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ (How)
- สิ่งที่ต้องการให้อนุมัติ (What)
แบบนี้คนฟังจะเห็นเหตุผลที่ต้องตัดสินใจ และเกิด Action ได้ง่ายขึ้น
4 โครงสร้างการพรีเซนต์ที่ใช้ได้จริง
1. Before → After → Call to Action
เหมาะสำหรับ:
- รีวิวสินค้า หรือบริการ
- การเล่า Success Story
- การนำเสนอเทคโนโลยี หรือกระบวนการใหม่
📌 โครงสร้าง
- Before: อธิบายปัญหาหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน
- After: แสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้อย่างไร
- Call to Action: กระตุ้นให้ผู้ฟังลงมือทำ
ตัวอย่าง
- Before: คนส่วนใหญ่ใช้เวลาทำสไลด์มากกว่าคิดเนื้อหา
- After: AI ช่วยสรุปข้อมูล ทำให้มีเวลาเตรียมพรีเซนต์มากขึ้น
- Call to Action: ลองใช้ฟรีวันนี้ แล้วให้ AI ช่วยลดเวลาทำสไลด์
Prompt AI สำหรับ Before-After-CTA
🔹 Role: เป็นนักการตลาดที่เชี่ยวชาญเรื่องการโน้มน้าวใจ 🔹 Instruction: เขียนเนื้อหาตามโครงสร้าง Before → After → Call to Action 🔹 Context: ฉันต้องการนำเสนอเกี่ยวกับ [หัวข้อ] ให้ผู้ฟังเห็นความแตกต่างก่อนและหลัง 🔹 Example: Before: [ปัญหาที่คนส่วนใหญ่เจอ] After: [ผลลัพธ์เมื่อใช้โซลูชัน] Call to Action: [กระตุ้นให้คนลงมือทำ]
2. Problem → Answer → Call to Action
เหมาะสำหรับ:
- Pitching หรือขายไอเดีย
- การโน้มน้าวให้แก้ปัญหา
- การอธิบายทางเลือกใหม่
📌 โครงสร้าง
- Problem: อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้น
- Answer: นำเสนอวิธีแก้ไข
- Call to Action: จูงใจให้ผู้ฟังตัดสินใจหรือลงมือทำ
ตัวอย่าง
- Problem: หลายองค์กรเสียเวลากับการจัดการเอกสาร
- Answer: ใช้ AI สร้างรายงานอัตโนมัติ ลดเวลาทำงานลง 60%
- Call to Action: ทดลองใช้ AI ฟรี
Prompt AI สำหรับ Problem-Answer-CTA
🔹 Role: เป็นที่ปรึกษาธุรกิจที่ต้องการช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า
🔹 Instruction: เขียนเนื้อหาตามโครงสร้าง Problem → Answer → Call to Action
🔹 Context: ฉันต้องการนำเสนอเกี่ยวกับ [หัวข้อ] โดยให้คนฟังเข้าใจปัญหา และอยากลองโซลูชัน
🔹 Example:
Problem: [ปัญหาหลักที่ผู้ฟังเผชิญ]
Answer: [โซลูชันที่ช่วยแก้ไข]
Call to Action: [กระตุ้นให้คนลงมือทำ]
3. What → Why → How
เหมาะสำหรับ:
- อธิบายฟีเจอร์หรือแนวคิดใหม่
- ให้ความรู้หรือให้ข้อมูลที่ซับซ้อน
- นำเสนอข้อมูลให้เข้าใจง่ายขึ้น
📌 โครงสร้าง
- What: อธิบายว่าสิ่งที่นำเสนอคืออะไร
- Why: บอกเหตุผลว่าทำไมมันถึงสำคัญ
- How: แสดงให้เห็นว่ามันทำงานอย่างไร
ตัวอย่าง
- What: AI ช่วยให้พรีเซนต์ง่ายขึ้น
- Why: เพราะทุกวันนี้คนเสียเวลากับการออกแบบสไลด์ มากกว่าคิดเนื้อหา
- How: ใช้ AI สร้างโครงสร้างเนื้อหาอัตโนมัติ ลดเวลาทำงาน
Prompt AI สำหรับ What-Why-How
🔹 Role: เป็นนักขายที่ต้องการอธิบายผลิตภัณฑ์ให้เข้าใจง่าย
🔹 Instruction: เขียนเนื้อหาตามโครงสร้าง What → Why → How
🔹 Context: ฉันต้องการนำเสนอ [หัวข้อ] ให้ผู้ฟังเข้าใจว่า AI สามารถช่วยได้อย่างไร
🔹 Example:
What: [สิ่งที่เรานำเสนอ]
Why: [เหตุผลที่มันสำคัญ]
How: [วิธีการใช้งาน]
4. Why → How → What (Golden Circle)
เหมาะสำหรับ:
- การสร้างแรงบันดาลใจ
- Storytelling ใน TED Talk
- อธิบายวิสัยทัศน์องค์กร
📌 โครงสร้าง
- Why: ทำไมถึงต้องทำสิ่งนี้
- How: วิธีการทำให้เกิดขึ้นจริง
- What: สิ่งที่สร้างขึ้น
Prompt AI สำหรับ Golden Circle
🔹 Role: เป็นนักพูด TED Talk ที่ต้องการสร้างแรงบันดาลใจ
🔹 Instruction: เขียนเนื้อหาตามโครงสร้าง Why → How → What
🔹 Context: ฉันต้องการอธิบาย [หัวข้อ] ให้ผู้ฟังรู้สึกมีแรงบันดาลใจและอยากลงมือทำ
🔹 Example:
Why: [แรงบันดาลใจ หรือ ปัญหาที่ยิ่งใหญ่]
How: [กระบวนการแก้ปัญหา]
What: [สิ่งที่เราสร้างขึ้นมา และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น]
การเลือกใช้โครงสร้างการพรีเซนต์ที่เหมาะสมช่วยให้สามารถสื่อสารได้ชัดเจนขึ้น และโน้มน้าวใจผู้ฟังได้ดีขึ้น
อยากพรีเซนต์ให้ดีขึ้น? ลองใช้ AI ช่วยด้วย Prompt ด้านบน


ใส่ความเห็น