ศิลปะแห่งการซ้อนทับ: จุดตัดที่สร้างความหมายในโลกที่หมุนเร็วเกินไป

Published by

on

โลกทุกวันนี้หมุนเร็วจนหายใจแทบไม่ทัน

LinkedIn ใช้เวลาถึง 95 เดือนเพื่อให้มีผู้ใช้ 100 ล้านคนแต่ ChatGPT เพียง 2 เดือนเท่านั้น! ข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ถาโถมเข้ามาจนแทบจะจมหายไปในทะเลสีแดงที่ไม่เคยสงบนิ่ง

มีโทรศัพท์เข้ามาในช่วงเย็นวันหนึ่ง จาก Training Orgianizer ที่รู้จักกันมานาน ขอหลักสูตร AI ทั่วไปเพื่อนำไปเสนอลูกค้า ใจหนึ่งอยากปฏิเสธไปตรงๆ เพราะรู้สึกว่ายังไม่ “ตกผลึก” มากพอที่จะสอนคนอื่น ขนาดพยายามจะอธิบายให้ลูกฟัง ลูกยังเดินหนีเล้ยย!

แต่เพราะความเกรงใจ จึงตัดสินใจร่างหลักสูตรแบบทั่วๆ ไปส่งไปก่อน เป็นการ “ซื้อเวลา” หวังว่าจะมีโอกาสได้ปฏิเสธอย่างสวยงามในภายหลัง

แต่ชีวิตไม่เคยเป็นไปตามที่คาดหวัง…

โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง : ลูกค้าสนใจและนัดพรีเซนต์พรุ่งนี้!

คืนนั้น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ไตพิการ อาหารไม่ย่อย เพราะเนื้อหาที่ส่งไปไม่ใช่สิ่งที่อยากสอนจริงๆ มันเป็นแค่เนื้อหา AI ทั่วๆ ไปที่ใครๆ ก็พูดถึง ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ใครจดจำได้ที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ตัวเรา

และแล้ว ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในห้วงความคิดอันวุ่นวาย:

“ในโลกที่ทุกคนกำลังเดินไปในทิศทางเดียวกัน บางทีการกล้าหันหลังกลับ 180 องศา อาจเป็นสิ่งที่โลกใหม่กำลังรอคอย”

เช้าวันรุ่งขึ้นในห้องประชุม ขึ้นต้นประโยคแรก หลังจากสวัสดีกันแล้ว

“ขออนุญาตไม่สอนตามสิ่งที่ส่งไปให้ดูก่อนหน้านี้นะครับ”

ลูกค้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงรอฟังต่อไป

“AI ในตอนนี้มัน Overwhelmed มากจริงๆ เครื่องมือใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ตามแทบไม่ทัน ได้แต่ใช้งานอย่างละนิด อย่างละหน่อย เรียนรู้วันนี้ อีกสามวันก็ลืมหมดแล้ว แถมหน้าตาเมนูยังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เรียนเป็น 10ๆตัวรวดเดียว แถมตัวละนิดละหน่อย”

“มันให้ความรู้สึกเหมือนไปทัวร์ 3 วัน 8 ประเทศ รู้แค่ว่าเคยไป แต่จำอะไรไม่ได้เลย!”

สีหน้าของลูกค้าเริ่มเปลี่ยนไป รอยยิ้ม ปรากฏขึ้นที่มุมปาก พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ

“บริษัทเพิ่งส่งผมไปทัวร์มาเหมือนกัน 4 วัน 16 ประเทศ หนักกว่าอีก!”

จังหวะนั้นเอง ความตึงเครียดในห้องหายไปในพริบตา เหมือนกระแสไฟฟ้าที่เชื่อมต่อถึงกัน

“ถ้าเรากำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน บางทีเราอาจต้องการทางออกใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม” น้ำเสียงมั่นใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “แทนที่จะไปทัวร์หลายประเทศในเวลาอันสั้น เรามาเที่ยวประเทศเดียว แต่ให้ลึกซึ้งดีกว่า”

“Going an inch wide, but a mile deep”

“เรียนให้ลึกในเรื่องเดียว แล้วประยุกต์วิธีการเดียวกันไปปรับใช้กับงานอื่นๆ จะดีกว่าการพยายามเรียนรู้ทุกสิ่งแต่ไม่ได้ลงลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเลย”

ในใจตอนนั้นคิดถึงแต่รูปนี้อย่างเดียวเลย

“วงกลมแรกคือ ‘ตัวตน’ – ความเชี่ยวชาญ ความถนัด วิธีการทำงานเฉพาะตัว ถ้ายึดมั่นแต่สิ่งนี้ เราจะมีความแตกต่าง แต่อาจไม่ตรงกับความต้องการของตลาด จึงอาจพลาดโอกาสในการถูกจ้าง”

“วงกลมที่สองคือ ‘กระแส’ – เทรนด์ ความต้องการ วิธีการที่คนส่วนใหญ่ทำกัน ถ้าเราแค่ตามกระแส เราจะมีโอกาสถูกจ้าง แต่ขาดเอกลักษณ์ เป็นเพียงหนึ่งในฝูงชนที่กำลังแย่งชิงพื้นที่กันอย่างดุเดือด”

ปากกาค่อยๆ เลื่อนวงกลมทั้งสองเข้าหากัน จนเกิดพื้นที่ซ้อนทับตรงกลาง

“แต่… เมื่อวงกลมทั้งสองซ้อนทับกัน ตรงส่วนที่เป็นตัวตนของเราและตรงกับความต้องการของตลาด นั่นคือ ‘ศิลปะแห่งการซ้อนทับ’ ที่ทำให้เรามีทั้งเอกลักษณ์และโอกาสในเวลาเดียวกัน”

“เราไม่สามารถเป็นทุกอย่างเพื่อทุกคน แต่เราสามารถเป็นบางอย่างเพื่อบางคนได้”

ศิลปะแห่งการซ้อนทับ ไม่ได้หมายถึงแค่การผสมผสานความรู้ที่หลากหลาย แต่หมายถึงการค้นหาจุดตัดระหว่างสิ่งที่เราเป็น กับสิ่งที่โลกต้องการ เพื่อสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีคุณค่าพอให้คนอื่นมองเห็น

“อะไรคือสิ่งที่ฉันเราถนัดและทำได้เป็นวันๆ?” “อะไรคือสิ่งที่โลกกำลังต้องการอยู่?” “จุดตัดระหว่างสองสิ่งนี้อยู่ตรงไหน?”

บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่จะลองเที่ยวแค่ประเทศเดียว แต่ให้ลึกซึ้งกว่าที่เคย

ถ้าสนใจทัวร์ประเทศเดียวแบบลึกซึ้ง บางทีเราอาจจะได้เดินร่วมทางบนเส้นทางนี้ด้วยกันก็ได้ ใครจะไปรู้

ขอบคุณไอเดียของแนวคิดนี้จาก Crossover Creativity – Dave Trott

www.PresentationBen.com

ใส่ความเห็น