ปีๆหนึ่งมีทหารนอกประจำการที่ตัดสินใจปลิดชีวิตตนเองอยู่เป็นจำนวนมาก สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการถูกปลดประจำการ สูญเสียการทำหน้าที่ เพราะทหารถูกปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัย และการดำรงอยู่ การมีตัวตน และการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น หลังจากกลับมาใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติ เขาเหล่านั้นรู้สึกว่าตนเองนั้นไร้ซึ่งคุณค่า ทักษะในชีวิตทหารที่ได้ใช้งานอยู่เป็นประจำ ไม่มีโอกาสได้ใช้งานเมื่ออยู่บ้าน
ในปี 2010 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเฮติ มีความสูญเสียเกิดขึ้นมากมาย คนตายเป็นเบือ และคนที่ไร้ที่อยู่มีมากมายนับไม่ถ้วน คนธรรมดาที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่น่าจอทีวีอยากเสียสละเพื่อช่วยเหลือ แต่ทำไม่ได้ เพราะไม่มีผู้นำทีม ไม่รู้ว่าไปแล้วจะช่วยอะไร ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน จะสั่งการณ์และจัดระเบียบทีมงานเช่นไรถึงจะเวิร์ค
พออ่านถึงตรงนี้แล้วมีสองย่อหน้าที่ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน มีความต้องการเกิดขึ้นที่ตรงกันอยู่แต่การเชื่อมโยงความต้องเข้าหากัน คือ ทหารที่มีวินัย เฉียบคม ฉับไว รู้จักการควบคุมผู้คนและรู้จักการเอาชีวิตรอด ทักษะที่เพียบพร้อม แต่ขาดความต้องการทหารเหล่านั้น อีกฝั่งคือ ผู้ประสบเหตุภัยพิบัติและผู้คนที่ต้องสนับสนุนที่ขาดผู้นำทีม
โชคดีที่มีนาวิกโยธินปลดประจำการอยู่ 2 นายคือ Jake Wood และ William McNulty เห็นความเชื่อมโยงของความต้องการของสองสิ่งเกิดขึ้น เขาจึงนำทีมทหารปลดประจำการอีก 8 นายบินตรงสู่เฮติเพื่อปฏิบัติภารกิจบรรเทาสาธารณภัยทันที พวกเขารีบดำเนินการจากทักษะที่ตนเองมี จัดการให้ความช่วยเหลือและรับมือกับสถาณการณ์ได้เป็นอย่างดี เพราะอะไร? ก็พวกเขาเป็นทหารผ่านศึกที่รู้ทุกสิ่งได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการประเมินสถารณ์การ การออกแผนฉุกเฉิน การรับมือกับความเสี่ยง การส่งกำลังบำรุง และจัดการผู้บาดเจ็บ ของเหล่านี้มันอยู่ในสายเลือดนักรบทุกคน
ทั้ง Jake และ William ได้ค้นพบทางออกของคนสองกลุ่ม ผู้ประสบภัยต้องการความช่วยเหลือ และเหล่าทหารปลดประจำการณ์ต้องการแสดงออกว่าพวกนั้นนั้นมีคุณค่ามากกว่าจะอยู่บ้านเฉยๆ ผู้ประสบภัยช่วยให้ทหารรู้สึกมีคุณค่าในขณะที่ทหารปลดประจำการก็ช่วยเหลือผู้ประสบภัย คนทั้งสองกลุ่มช่วยชีวิตซึ่งกันและกัน
ที่สุดแล้ว Project Rubicon จึงถือกำเนิดขึ้น โดยทำหน้าที่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ในงานบรรเทาสาธารณภัยทั่วโลก โดยทหารปลดประจำการ เพราะ งานบางอย่างพลเรือนทำไม่ได้ ที่บางที่พลเรือนเข้าไปไม่ถึงนั่นเอง
ผมอ่านเรื่องนี้จากบล็อกของ Dave Trott แล้วขนลุกอย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าคนสองกลุ่มต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกันและทำให้เห็นการดำรงอยู่ที่พึ่งพาอาศัยกันอย่างสมบูรณ์
ไม่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่จะมีคนเห็นหรือไม่ เขาจะรับรู้หรือเปล่า ไม่ว่าจะมากหรือน้อย คนตัดสินว่าที่เราทำนั้นมีคุณค่า ไม่ใช่คนอื่น เรานั่นแหละที่บอกว่าสิ่งนี้ มีคุณค่าคู่ควรหรือไม่ และค่าของเราไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อยเลย